แม้ว่า UK จะเป็นประเทศที่รถไฟไปถึงแทบทุกที่ และแทบทุกครั้งที่เดินทางในประเทศนี้เราก็จะเดินทางด้วยรถไฟ แต่การเดินทางด้วยรถไฟ คือการเดินทางจาก “เมืองหนึ่ง” ไปยัง “อีกเมือง” และการท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเป็นการตะลุยเมือง เมื่อจุดมุ่งหมายของเราในครั้งนี้ไม่ใช่การเที่ยวเมือง แต่เป็นการลัดเลาะตามพื้นที่กว้าง เพื่อชื่นชมเทือกเขา ทะเลสาบ ฟาร์มปศุสัตว์ สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ รวมทั้ง ไปเที่ยวเกาะที่ไม่มีรถไฟเข้าถึง..
โดยที่อยู่อังกฤษมาหลายปี และมีโอกาสได้ไปหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศนี้จนเกือบครบถ้วน (ซึ่ง 95% เป็นการเดินทางด้วยรถไฟ) รวมทั้งได้ไปเยือนสก็อตแลนด์หลายครั้ง แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเยือน “Highlands” หรือพื้นที่สก็อตแลนด์ตอนเหนือ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ตอนเหนือของเมือง Glasgow ขึ้นไป มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูง สลับกับทะเลสาบ ซึ่งผู้เขียนตั้งใจจะไปดูสิ่งเหล่านี้ให้ได้.. (ไม่รู้ว่าผู้อ่านฟังแล้วจะตื่นเต้นรึเปล่า แต่ผู้เขียนตื่นเต้นมากถึงมากที่สุด ^^)
- ภูเขาที่สูงที่สุดในบริเทน (Ben Nevis)
- เกาะที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในบริเทน (Isle of Skye)
- ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบริเทน (Loch Lomond)
- ทะเลสาบชื่อดังก้องโลก Loch Ness
- รางรถไฟที่ได้ชื่อว่าวิวสวยที่สุดในบริเทนที่ใช้ถ่ายเป็น Hogwarts Express ใน Harry Potter (Glenfinnan Viaduct)
- เส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในสก็อตแลนด์ที่หุบเขา Glen Coe ซึ่งใช้ถ่ายหนัง Skyfall
- กวางเรนเดียร์ฝูงเดียวที่มีอยู่ตามธรรมชาติบนเกาะบริเทน (อุทยาน Cairngorms National Park)
- วัวขนยาวปิดตา หรือที่เรียกกันว่า Highland Cow ซึ่งมีอยู่บริเวณแถวนี้
- แมวน้ำ ที่ไม่ได้อยู่ในสวนสัตว์ แต่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเกาะกลางทะเล
การเดินทางทริปแบบนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางโดยรถยนต์ (นอกจากจะซื้อทัวร์ไป ซึ่งก็ผิดวิสัยของผู้เขียนยิ่งนัก เพราะเป็นคนที่หวงแหนอิสระและไม่ชอบทำตามกฎเท่าไหร่) ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทริปนี้เลื่อนมาหลายปี จนกระทั่งได้ฤกษ์ปีนี้ที่พอจะหาเวลาประมาณ 10 วัน สำหรับเที่ยวได้ ก็จวบเหมาะกับที่ 2014 เป็นปีที่ชาวสก็อตแลนด์จะลงประชามติว่าจะแยกประเทศจาก UK หรือไม่ ในเดือนกันยายน รวมทั้งเป็นปีที่ Glasgow จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Commonwealth Games (การแข่งขันกีฬาของประเทศในเครือจักรภพ) พอดิบพอดี ซึ่งก็ทำให้ได้เห็นบรรยากาศของทั้งสองสิ่งนี้ในช่วงตลอดการเดินทาง
ภาพที่เห็นคือแผนที่ UK เด่นที่สุด คือ London ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ (ประเทศนี้ตอนใต้คือเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจดีกว่า รวยกว่า ขณะที่ตอนเหนือจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมเก่าที่ปัจจุบันต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจ) เมื่อดูจากแผนที่แล้ว ก็คงเข้าใจเหตุผลที่ผู้เขียนเลือกที่จะบินไปลง Manchester แทน และขับรถขึ้นไปเที่ยวทางตอนเหนือ โดยจบลงที่เมือง Inverness ในสก็อตแลนด์ แทนการบินไปยัง London ซึ่งจะทำให้เสียเวลาอ้อมประเทศ
Lake District กับทะเลสาบงาม ๆ และเทือกเขาสวย
บรรยากาศใน Lake District เส้นทางระหว่างทะเลสาบ Windermere ไปยังทะเลสาบ Ullswater
เมื่อเช่ารถขับจาก Manchester ก็มุ่งขึ้นไปทางเหนือ จากแผนที่ด้านบน ก็คือบริเวณที่อยู่ระหว่างเมือง Preston กับเมือง Carlisle ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ England ที่เรียกว่า อุทยานแห่งชาติ Lake District ที่นี่เราและนักท่องเที่ยวหลายคนยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยที่สุดใน England (อันที่จริงแล้วทริปเราสามารถเริ่มจากการบินไปลง Glasgow ได้เลยแต่ด้วยความที่อยากกลับไปเยือน Lake District ด้วย ก็เลยไป Manchester นี่แหละ)
ผู้เขียนมา Lake District ครั้งแรกเมื่อปี 1999 ตอนนั้นยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่ Lake District เมื่อ 15 ปีก่อนเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก บริเวณอุทยานแห่งนี้เป็นพื้นที่สีเขียวที่มีลักษณะเด่นคือ ประกอบด้วยทะเลสาบจำนวนมาก มีเทือกเขาเตี้ย ๆ ฟาร์มแกะ แพะน่ารัก ๆ มีน้ำตก ภูเขาให้ปีน มี Stone Circle (คล้าย ๆ Stonehenge ขนาดย่อม)
ความสวยงามของธรรมชาตินี้ทำให้ Lake District ป๊อปปูล่าร์ในฐานะพื้นที่พักผ่อนตากอากาศของชาวอังกฤษที่พอจะมีสตางค์มาตั้งแต่สมัยโบราณ นักเขียนหลายคนก็อยู่ที่ Lake District เพื่อหาแรงบัลดาลใจ รวมทั้ง Beatrix Potter ผู้สร้าง Peter Rabbit (ชีวประวัติของเธอสร้างเป็นภาพยนตร์ Miss Potter เมื่อปี 2006 นำแสดงโดย Renée Zellweger)
เป็ดใน Lake Windermere ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ (แต่ยังไม่ใหญ่สุดในบริเทน)
บ้านพักแถวนี้ ถ้าไม่ใช่โรงแรมใหญ่ ก็จะเป็นลักษณะ Bed & Breakfast หรือบ้านคนที่ดัดแปลงเป็นที่พัก ซึ่งก็จะมีไม่เกิน 4-5 ห้อง มีอาหารเช้าเสิร์ฟ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น Traditional English Breakfast (ไข่ดาว เบคอนแข็ง ๆ ไส้กรอกมัน ๆ เห็ดผัด และ baked beans) เจ้าของบ้านมักจะเป็นคนดูแลเอง มีความเป็นกันเองเหมือนครอบครัว ราคาที่พักแบบ B&B นี้ คืนละราว ๆ 60-75 ปอนด์ ผู้เขียนนิยมค้างแรมที่ B&B ซึ่งนอกจากเหตุผลด้านความประหยัดแล้ว ก็ยังทำให้บรรยากาศเป็นกันเอง และได้สนทนากับชาวบ้านแถวนี้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วย
อาชีพของชาวบ้านบริเวณแถบเหนือของอังกฤษ คือการทำฟาร์มปศุสัตว์ ได้แก่ แกะ แพะ และวัว เป็นหลัก
Lake District อาจจะเรียกได้ว่าเป็น destination ในทริปที่ “touristy” ที่สุดแล้ว เพราะหลังจากนี้เราจะไป explore พื้นที่ที่แม้กระทั่งคนอังกฤษก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสไปบ่อยนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ ส่วนน้อยมาจากแถบยุโรป และแทบไม่เห็นชาวเอเชียเลย (นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศแล้วตลอดทั้งทริป ไม่เจอคนไทย) ยิ่งขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ ความชนบทก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สัญญาณอินเตอร์เน็ตในมือถือเริ่มหาย เมื่อขึ้นไปได้ครึ่งทาง สัญญาณโทรศัพท์ก็หายสนิทประมาณ 4 ใน 5 ของการเดินทางของเรา แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ ปั๊มน้ำมันก็นาน ๆ เจอที แถมเป็นยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้สิ
กำแพงโรมัน Hadrian’s Wall
ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ Lake District คือ เมือง Carlisle ที่ประกอบไปด้วยซากโรมันโบราณ ที่มีชื่อเสียงก็คือ Hadrian’s Wall หรือกำแพงโรมันที่ลากยาวตลอดทิศเหนือของอังกฤษ (ลองจินตนาการกำแพงเมืองจีนขนาดย่อมแบบที่ไม่สามารถเดินบนนั้นได้) ชาวโรมันที่มาบุกเกาะบริเทนแห่งนี้ได้สร้างไว้แต่โบราณ (Hadrian’s Wall เป็นที่มาของไอเดีย “กำแพง” เมือง Wall ในหนังสือ/ภาพยนตร์ Stardust ซึ่งยอมรับว่า เป็นตัวจุดประกายทำให้ใฝ่ฝันอยากมาเยือนกำแพงแห่งนี้เหลือเกิน)
เส้นทางมุ่งหน้าจากอังกฤษสู่สก็อตแลนด์จาก Carlisle บรรยากาศด้านข้างเป็นท้องทุ่ง ท้องฟ้าสดใสตลอดเส้นทาง
เข้าสู่เขตสก็อตแลนด์
ปูพื้นกันเล็กน้อยด้านการเมือง UK (country) ประกอบไปด้วย 4 nations ได้แก่ อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ สำหรับสก็อตแลนด์นั้นในอดีตได้มีสงครามกับอังกฤษมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปี 1707 ได้เกิดการรวมตัวกันเป็น Union ครั้งแรก ซึ่งคงการรวมตัวจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นเสียแต่ว่า การทำประชามติในเดือนกันยายนปีนี้จะแยกออกให้เป็นอื่น
การเป็นประเทศเดียวกัน หมายความว่าสก็อตแลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของสภา Westminster Parliament ที่ลอนดอนเหมือนกัน อยู่ภายใต้ความดูแลของ British Armed Forces เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันบางอย่างที่สก็อตแลนด์ได้คงไว้ อาทิ ระบบกฎหมายที่แตกต่างกัน หรือการผลิตธนบัตรที่แตกต่างกัน (นักท่องเที่ยวจะได้แบงค์สก็อตทอนกลับมาทุกที แม้ว่าเราจะใช้แบงค์ที่ผลิตโดย Bank of England ได้ก็ตาม) หลังจากที่มีประชามติสมัยรัฐบาล Tony Blair เมื่อปี 1997 ให้ Scottish Parliament ซึ่งตั้งอยู่ที่ Edinburgh มีอำนาจปกครองท้องถิ่นหลายอย่าง ก็ทำให้สก็อตแลนด์มีอำนาจปกครองตนเองได้ในระดับหนึ่ง เช่น การเก็บภาษีท้องถิ่นที่ การออกกฎหมายท้องถิ่น สวัสดิการด้านการศึกษา ที่ต่างไปจากอังกฤษ (ชาวสก็อตเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยฟรี ขณะที่ในอังกฤษ คนท้องที่ไม่ได้เรียนฟรี)
เมื่อขึ้นเหนือจาก Lake District ไปยังสก็อตแลนด์ เมืองใหญ่ที่จะเจอคือ Glasgow เมืองใหญ่ที่สุดของสก็อตแลนด์ ซึ่งแม้จะไม่ใช่เมืองหลวง (เมืองหลวงของสก็อตแลนด์คือ Edinburgh ซึ่งมี Scottish Parliament ตั้งอยู่) Glasgow ก็เคยมีสถานะเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของ UK เมื่อสมัยที่อุตสาหกรรมหนักของสก็อตแลนด์ยังรุ่งเรือง ปัจจุบัน Glasgow มีภาพลักษณ์เป็นเมืองที่ทันสมัยและสวยงามด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
Glasgow ณ บริเวณริมแม่น้ำ Clyde ที่พร้อมสำหรับการแข่งขัน Commonwealth Games
เราอาศัย Glasgow เป็น gateway เพื่อมุ่งขึ้นทางเหนือเข้าสู่พื้นที่ราบสูงหรือเขต Highlands สิ่งแรกที่เจอ คือ Loch Lomond ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบริเทน คำว่า Loch แปลว่า ทะเลสาบ และยังมีคำว่า Lochan ที่แปลว่า ทะเลสาบขนาดเล็ก อีกด้วย
Loch Lomond ได้ชื่อว่า เป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในสก็อตแลนด์ แม้ว่าจะดังไม่เท่า Loch Ness แต่เชื่อเถอะว่า ถ้ามีเวลาแค่วันเดียวและต้องการจะไปแตะ Highlands ที่ไหนสักแห่ง ไปที่นี่คุ้มค่ากว่า Loch Ness แน่ ๆ
เส้นทาง Skyfall
ไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวหลายคนใน Highlands คือ บริเวณหุบเขาต่าง ๆ หรือเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า Glen บนเส้นทางขับรถสาย A82 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ตอน Skyfall บริเวณนี้วิวสะใจมาก ตลอดเส้นทางจะมีแต่เรากับหุบเขาที่สวยงาม แทบจะไม่มีบ้านคน ไม่มีโรงแรม ไม่มีปั๊มน้ำมัน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้แอบคิดไม่ได้ว่า ถ้ารถเสียตรงนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย
วิวแบบนี้ตลอดทาง มีคนบอกว่าเหมือน Wallpaper ของ Windows เลย
บริเวณ Glen Coe เป็นหุบเขาที่สวยแต่วิวเป็นแบบในรูปตลอดทาง เมื่อเจอหมู่บ้าน Glen Coe เล็ก ๆ ก็เหมือนได้เจอกับโอเอซิส เพราะบริเวณนี้จะมีร้านอาหาร ที่พักแบบ B&B และสัญญาณโทรศัพท์แล้ว คาเฟ่แถวนั้นน่ารักมาก อาหารอร่อย อาหารที่แนะนำสำหรับคาเฟ่ในสก็อตแลนด์ คือ scone แบบที่มีความพิเศษของที่นี่ คือ เป็น scone แบบคาว ใส่ชีส ถ้าไม่เคยกินก็จะว่าแปลกดี (ถ้าให้ดีต้องเป็นชีส cheddar จาก Lockerbie ด้วยนะ)
Ben Nevis ภูเขาที่สูงที่สุดในบริเทน จะขึ้นไปถึงยอดก็ได้ ใช้เวลาราว ๆ 7 ชั่วโมง
ขึ้นเหนือจาก Glen Coe จะเจอเมือง Fort William ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่เลย ที่นี่เป็นเมืองแห่งแรกในบริเทนที่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังน้ำท้องถิ่นใช้ในช่วงแรกเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรม จาก Fort William สามารถไปเที่ยว Ben Nevis ภูเขาที่สูงที่สุดในบริเทนได้ ซึ่งหากใครมีแรงฮึดก็ปีนไป ใครแรงน้อยหน่อยก็สามารถเดินวนลูปโดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ใครไม่มีแรงก็จอดรถชมวิวที่ตีนเขาได้เฉย ๆ
จาก Fort William ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นเส้นทางไปสู่เมือง Oban ซึ่งก็สวยไม่แพ้กันกับเส้นทาง Glen Coe แม้จะฮิตน้อยกว่าเพราะเส้นทาง Glen Coe นี้อลังการณ์มาก แต่ถ้าใครจะไปเกาะทางทิศตะวันตกของสก็อตแลนด์ก็อาจจะไปทางนั้นได้ เพราะ Oban เป็นเมืองท่าที่มีเรือแล่นไปยังเกาะต่าง ๆ ระหว่างทางไป Oban ก็มีปราสาทงาม ๆ ให้ชมเป็นระยะ มีทั้ง Stalker Castle ที่อยู่บนเกาะกลางน้ำ (คือเกาะไม่มีอะไรเลยนอกจากปราสาท 1 หลัง) และปราสาท Dunstaffnage ที่ผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน
ปราสาท Dunstaffnage คนเฝ้าที่นี่ทักเราว่า “ไม่เคยเจอคนไทยมาที่นี่เลย คนไทยเค้าไม่เที่ยวสก็อตแลนด์กันเหรอ”
พบกับ Hogwart Express ของจริง
สำหรับแฟน ๆ Harry Potter นั้น Fort William เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ Jacobite ที่ใช้ถ่ายทำเป็น Hogwarts Express ของจริง ก็วิวอย่างในภาพยนตร์เลยนั่นแหละ
เส้นทาง Hogwarts Express ทางรถไฟที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในสก็อตแลนด์
รถไฟหัวรถจักรไอน้ำ Jacobite นี้ ยังวิ่งอยู่ในปัจจุบัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถขึ้นได้ โดยจะวิ่งจาก Fort William ไปยังเมือง Malliag ซึ่งเป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกของสก็อตแลนด์ ใช้ระยะเวลาการวิ่งประมาณ 2 ชั่วโมง แต่หากแฟน ๆ Harry Potter ที่ยังไม่ถึงกับขั้นเดนตาย แต่สนใจจะดูรถไฟ ก็สามารถขับรถมาดักรอถ่ายรูปรถไฟกันได้ที่บริเวณ Glenfinnan
รถไฟ Hogwart Express มาไว ไปไวมาก เตรียมกล้องของคุณให้พร้อม และจงภาวนาว่าไม่ให้มีใครมายืนขวางอย่างในรูปนี้
ข้ามฟากไปยังเกาะ Isle of Skye
แม้ว่า Isle of Skye จะไม่มีรถไฟไปถึง แต่ก็มีสะพาน Skye Bridge ที่สามารถขับรถข้ามไปได้เลย แต่ด้วยความที่เราเลือกที่จะดูทางรถไฟ Hogwart Express ก็เลยตรงมาที่เมือง Malliag เพื่อนำรถขึ้น ferry ข้ามฟากแทน ซึ่งทุกคนที่ขึ้น ferry ไป Skye แทบไม่มีใครไม่มีรถ เนื่องจากการไม่มีรถหมายถึงว่า เมื่อไปถึง Skye แล้วจะไปไหนต่อไม่ได้เลย การนำรถขึ้น ferry ที่นี่จึงค่อนข้าง common แต่ผู้เขียนก็แอบตื่นเต้น เนื่องจากไม่เคยทำ เห็นก็แต่ในหนังนั่นแหละ ^^
ปกติแพะที่เลี้ยงไว้จะมีรั้วกั้น แต่แถวนี้ไม่มีรั้วเลย แถมแพะไม่เคยเจอรถ บีบแตรก็ไม่หลบ ลองดีซะแล้ว
ตอนแรกก็คิดว่า การขึ้น ferry ข้ามฟาก ทำให้เราได้ประหยัดเวลาแทนการขับรถอ้อม แต่เอาเข้าจริง ยังทำให้เราได้เที่ยวบริเวณตอนใต้ของ Isle of Skye (ซึ่งสวยอย่าบอกใคร) อีกด้วย นี่เป็นเส้นทางเล็ก ๆ ไปสู่หมู่บ้าน Tarskavaig ที่เห็นในรูปด้านล่าง มีบ้านอยู่กันแค่นั้นแหละ ประชากรคงไม่ถึงร้อยคน เงียบสงบดีแท้ มีอาชีพเลี้ยงแพะกันเป็นส่วนใหญ่
มาที่หมู่บ้านนี้ เจอคาเฟ่ติดป้ายว่า เปิดเฉพาะวันอังคารถึงพฤหัส ก็งงว่า ทำมาหากินกันอย่างไร
แทบนึกไม่ออกเลยว่าแถวนี้จะทำอาชีพอะไรอย่างอื่นได้นอกจากเลี้ยงสัตว์และท่องเที่ยว ทั้งเกาะแทบจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย
Isle of Skye เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนอังกฤษมักตั้งเป้าว่าจะต้องไปให้ได้อย่างน้อยครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงที่นี่ก็ค่อนข้างแปลกใจในความเงียบสงบที่ยิ่งกว่า Mainland Scotland เสียอีก ที่พักทีนี่หายากมาก และที่พักมีราคาแพงกว่าที่พักบน Mainland Scotland โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน (เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม) ซึ่งจะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน
ภูมิประเทศของ Isle of Skye มีลักษณะเป็นภูเขา ภาพที่เห็นคือ ภูเขาในเทือกเขา Red Cuillins ซึ่งมีสีแดงทั้งแถบ
อุปกรณ์ถ่ายรูปต้องพร้อม รองเท้าใส่มาก็จะต้องเป็นแบบที่ปีนเขาได้ไม่ลื่นล้มและกันน้ำ ถ้าให้ดีควรมีแจ็คเก็ตกันน้ำด้วย
ที่ประทับใจเกี่ยวกับ Skye คือ ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงแค่ไหน Skye ก็ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ในอย่างที่เคยเป็นเมื่อหลายทศวรรตก่อน แทบจะไร้ร่องรอยการถูกทำลายโดยการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวของที่สก็อตแลนด์อยู่ได้ด้วยการอนุรักษ์ความเป็นธรรมชาติ ถูกจำกัดด้วยจำนวนที่พักที่มีไม่กี่แห่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาก็ทำให้ Skye หมดความสวยงามลงทันที แต่ดูแล้วก็แทบจะไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น
ปราสาท Dunvegan Castle และทริปล่องเรือดูแมวน้ำ
พื้นที่ Highlands นั้นมีปราสาทอยู่จำนวนมาก สร้างกันมาหลายร้อยปีมาแล้ว หลายแห่งเป็นปราสาทที่ Scottish Heritage ซึ่งเป็นองค์กรจัดตั้งโดยรัฐบาลเป็นผู้ดูแล ขณะที่หลายแห่งก็เป็นปราสาทเอกชน นั่นคือ มีเจ้าของ ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากในอดีต
ปราสาท Dunvegan ก็เป็นหนึ่งในปราสาทเอกชน อยู่เหนือสุดทางทิศตะวันตกของเกาะ Isle of Skye ด้านในมีการตกแต่งเสียใหม่ ทำเป็น exhibition ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม มีสวนที่สวยงาม แต่เหตุผลที่มาคือ ได้ทราบมาว่า ที่นี่มีทริปล่องเรือเพื่อไปดูแมวน้ำ
เรือส่วนตัวออกไปดูแมวน้ำ พร้อมหนุ่มสก็อตคนขับซึ่งเป็นไกด์ไปในตัว
ปกติแล้วแมวน้ำจะอยู่ในเขตหนาว อยู่กันเป็น colony หลายร้อยตัวตามเกาะเล็ก ๆ กลางทะเล แต่ใกล้ ๆ กับบริเวณปราสาท Dunvegan นี่เอง ก็มีแมวน้ำอยู่ colony หนึ่ง ประมาณ 300 ตัว ซึ่งหากนั่งเรือออกไปดูจะห่างออกไปเพียง 5 นาที เท่านั้น เรือที่เรานั่งเป็นเรือขนาดเล็กติดมอเตอร์ จุได้ไม่เกิน 8 คน แต่ด้วยความที่เรามาถึงปราสาทค่อนข้างเช้า เรือจึงเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีคนอื่นเลย
เรียกว่าทริปดูแมวน้ำน่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทริปสก็อตแลนด์นี้ เพราะ private มาก ๆ และได้ดูแมวน้ำตามธรรมชาติแบบที่ใกล้ชิดที่สุด คือ อยู่ห่างไปเพียงแค่ 5-6 เมตร เท่านั้น เวลาที่เราเข้าใกล้ แมวน้ำบางตัวก็จะจองมองแบบไม่เกรงกลัว แต่อีกหลายตัวก็จะนอนอืดของมันอยู่อย่างนั้น ขี้เกียจเหลือเกินเชียว
คนขับเรือบอกว่า แมวน้ำพวกนี้นอนอืดอยู่ที่นี่ทั้งปีแม้กระทั่งฤดูร้อน เพราะอุณหภูมิในน้ำนั้นต่ำกว่า 10 องศา ตลอด
พบ Highland Cow
อีกหนึ่งไฮไลท์ของ Highland ก็คือวัว Highland ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีขนยาวปิดหน้าปิดตา และมีเขายาว ตัวสีน้ำตาลใหญ่ วัว Highland นี่อาจจะหาไม่ง่ายนัก เมื่อเทียบกับวัวธรรมดา แต่ก็มีฟาร์มอยู่ไม่น้อยใน Isle of Skye บางฟาร์มเปิดเป็น B&B เสียด้วย หากใครอยากใกล้ชิดวัวยักษ์เหล่านี้ ก็สามารถไปจอง B&B นอนได้
วัวพวกนี้ดุมาก อย่าไปทำให้มันหงุดหงิด มันขวิดได้นะเออ
มุ่งสู่ทะเลสาบ Loch Ness และเข้าสู่ปลายทาง Inverness
การเล่าเรื่องทริปสก็อตแลนด์ครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก เพราะหากเล่าสถานที่ที่ไปมาทั้งหมด บล็อคนี้คงจะสามารถพิมพ์เป็นหนังสือขายได้เลย เราจึงจำเป็นจะต้องเลือกมาเฉพาะสถานที่ที่เราประทับใจจริง ๆ อย่างที่เกริ่นตอนต้น เนื่องจากสก็อตแลนด์เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยตระการตา Loch Ness ซึ่งมีชื่อเสียงเนื่องจากมีคนอ้างว่าเคยพบสัตว์ประหลาด Nessie นั้น จึงไม่ใช่สถานที่ที่หลายคนประทับใจเท่าไหร่นัก และเรียกได้ว่าน่าจะ touristy ที่สุดแล้ว สิ่งที่น่าสนใจที่สุดรอบบริเวณทะเลสาบ Loch Ness คือปราสาท Urquhart โบราณเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ
จาก Loch Ness นั้น ขับรถเพียงราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงเมือง Inverness ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแถบ Highlands มีสนามบินที่มีเที่ยวบินไปยังลอนดอนและเมืองต่าง ๆ ของยุโรป แต่สิ่งที่ผู้เขียนสนใจมากกว่า คือ อุทยานแห่งชาติ Cairngorms ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของ Inverness ขับรถไปราว ๆ 1 ชั่วโมง ที่นี่มีผู้คนมาตั้งแคมป์ เดินป่า พักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติ และมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ การปีนเขาไปหากวางเรนเดียร์ฝูงฝูงเดียวตามธรรมชาติที่มีอยู่บนเกาะบริเทน
นี่มันอารมณ์ National Geographic ชัด ๆ
เรนเดียร์ไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองของสก็อตแลนด์ เพราะแต่เดิมนั้นจะอยู่บริเวณที่หนาวจัดเท่านั้น แต่ในปี 1952 มีการนำกวางเรนเดียร์กลุ่มหนึ่งเข้ามาจากสวีเดนเพื่อให้มาขยายพันธุ์ที่อุทยานแห่งชาติ Cairngorms นี้ หลังจากนั้นเรนเดียร์กลุ่มนี้ก็ขยายพันธุ์จนมีราว ๆ 250 ตัว ที่เราไปพบนี้มีอยู่ราว ๆ 50 ตัว เราสามารถให้อาหารเรนเดียร์กับมือได้เลย
เรนเดียร์เหล่านี้ค่อนข้างเชื่อง เดินตามเรามาดุ่ย ๆ เลย แต่เห็น friendly แบบนี้ การใกล้ชิดกับเรนเดียร์จะต้องไม่แตะเขามัน ไม่งั้นอาจจะมีเรื่องได้
น่ารักเว่อ ๆ อยากเป็นซานต้าเลยทีเดียว
ทะเลสก็อต
ไม่ไกลจาก Inverness เช่นกันคือเมืองชายทะเลนามว่า Nairn คนไทยไปอาจจะเฉย ๆ เพราะว่าเมืองไทยมีหาดที่สวยอยู่เยอะ แต่ที่นี่เรียกว่าค่อนข้างพิเศษสำหรับชาวบริติช คือ เป็นหาดที่ทรายสวยมาก เนื่องจากเกาะนี้มักจะไม่ค่อยมีหาด หากมีหาดก็จะเป็นประเภท pebble beach คือ หาดก้อนกรวด ไม่ได้เป็นทรายละเอียดแบบบ้านเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบเกี่ยวกับ Nairn คือ ไม่มีความ touristy ใด ๆ อย่างคาเฟ่สักแห่งก็ไม่มี มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลม และสองเรา จริง ๆ
สรุปทริป Lake District + Scottish Highlands
- ทริปนี้เหมาะกับผู้ที่เคยมาอังกฤษหลายหนแล้ว เบื่อลอนดอน และไปเมืองต่าง ๆ มาค่อนข้างครบถ้วนแล้ว และเหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่เคยอยู่อังกฤษมาหลายปี จะอินเป็นพิเศษ ไม่เหมาะกับผู้ที่มาอังกฤษเป็นครั้งแรก เพราะจะงงว่ามาอังกฤษ หรือนิวซีแลนด์กันแน่
- ถ้าจะดูอะไรให้ครบถ้วน ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติจริง ๆ ยังไงก็จะต้องขับรถ สามารถมาเช่ารถขับจากเมืองใหญ่ ๆ และนำไปคืนในอีกเมืองหนึ่งได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม ค่ารถรวมกับน้ำมันและที่จอดรถแล้ว เฉลี่ยประมาณวันละ 80-100 ปอนด์ ได้
- ที่พักบริเวณ Highland มีหลายแบบ ทั้งแบบปราสาทหรูที่นำมาทำเป็นโรงแรม (ราคาคืนละ 100-200 ปอนด์) แบบ B&B (60-75 ปอนด์) และหากประหยัดหน่อยก็สามารถนอน Youth Hostel ได้ (มีทั้งเตียงรวมและแบบห้อง 2-3 คน ก็พอมี)
- นี่ไม่ใช่ทริปช้อปปิ้ง สินค้าที่ขายคือสินค้าพื้นเมืองพวก textile, ขนม, แยม ซึ่งเท่าที่ดู เกือบทั้งหมดยังคง Made in Scotland อยู่ (มีบางส่วนที่ทำในอังกฤษบ้าง) แทบยังไม่มีของฝากอะไร Made in China
- ฤดูที่เหมาะกับการมาท่องเที่ยวสก็อตแลนด์คือช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่พฤษภาคม – กันยายน ช่วงที่ป๊อปที่สุดคือ กรกฎาคม – สิงหาคม การเตรียมทริปจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจองที่พักล่วงหน้า โดยเฉพาะพื้นที่ที่ฮิต เช่น Isle of Skye หรือ Glen Coe หากมี B&B ฟาร์มวัวที่อยากไปพัก ยิ่งต้องจองล่วงหน้าเพราะมีจำนวนห้องจำกัด
- แนะนำให้บินมาลงสนามบินทางตอนเหนือ ไม่ว่าจะเป็น Manchester หรือ Glasgow ก็ตาม หากต้องการจะไปลอนดอนต่อ สามารถบินไปจาก Inverness – London ด้วย EasyJet ในราคาเพียงไม่กี่พันบาท และเลือกตั๋วแบบที่กลับจากคนละสนามบินจะสะดวกกว่า
- GPS รถยนต์ มีหรือไม่มีก็ได้ แต่หากไม่มี แนะนำให้ใช้ SIM มือถือของอังกฤษเพื่อเปิดหาทิศทาง แม้ว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตจะหายไปตลอดเวลา แต่หากตั้งค่าเอาไว้แล้ว GPS ก็ยังเคลื่อนที่และบอกทิศได้อยู่
- ระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่ Lake District ไปจนถึง Inverness นั้นคือ 1 สัปดาห์ ซึ่งเรียกว่ากำลังดี หากน้อยกว่านี้จะพลาดอะไรไปหลายอย่างมาก
- สถานที่ที่กล่าวถึงในบล็อคนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีปราสาทสวย ๆ สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติงาม ๆ หลายแห่งที่ไม่ได้กล่าวถึง (เผื่อมีคำถามว่าทำไมไม่ไปแวะนั่นนี่ คือจริง ๆ ไปหลายที่มาก แต่เล่าหมดคงไม่ไหว เพราะเยอะจริง ๆ)